ตำนานพระนางพญา เล่ม2
ตำนานพระนางพญา กรุวัดนางพญา
จังหวัดพิษณุโลกรวบรวมและจดบันทึกสืบทอดต่อกันมาหลายช่วงอายุคน แต่ละคนไม่มีผู้ใดทำธุรกิจซื้อขายพระเครื่องมาก่อน
นับว่าเป็นตำนานบริสุทธิ ไม่แต่งเติมเสริมเนื้อหาเข้าข้างผู้ทำธุรกิจให้เช่าพระเครื่องแต่อย่างไร
ข้อมูลและประวัติการสร้างพระนางพญา รวบรวมโดยบุคคลระดับอาวุโสที่มีถิ่นอาศัยอยู่ในจังหวัดพิษณุโลกมาตั้งแต่บรรพบุรุษ
แรกๆมีทั้งที่รู้มาตรงกันบ้าง ไม่ตรงกันบ้าง ต้องเลือกเอาเนื้อหาสาระในส่วนที่ตรงกันมากที่สุดมาวิเคราะห์ร่วมกับเหตุผลทางธรรมชาติและภาพประกอบ
เพื่อแยกยุคแยกสมัยให้เห็นความแตกต่างอย่างชัดเจนมีคุณค่าแก่ผู้สนใจเป็นอย่างยิ่ง
สามารถนำไปใช้เป็นตำราอ้างอิงประกอบการพิสูจน์ได้ทั้งในแง่ประวัติศาสตร์อักษรศาสตร์ดาราศาสตร์วิทยาศาสตร์
ธรณีวิทยา โบราณคดี จิตวิทยาและศิลปะ

พระนางพญาทุกองค์ในตำนานนี้ เป็นพระที่ได้รับมรดกตกทอดมาจากบรรพบุรุษของปู่บุญที่ได้มาจากไต้ฐานพระพุทธรูปในวิหารวัดนางพญาที่พังทลายลงมา
ในสมัยนั้นยังไม่มีผู้คนสนใจที่จะสะสมพระเครื่องกัน เจ้าอาวาสในสมัยนั้นจึงให้สามเณรบุญหรือปู่บุญ
ไปตามญาติพี่น้องมาช่วยกันขนไหบรรจุพระเครื่องนั้นไปเก็บรักษาไว้ที่บ้านก่อน ในคราวเดียวกันนั้นมีคนสนิทกับเจ้าอาวาสหลายรายทราบเรื่อง
ก็พา
กันเข้าไปขอไหพระเครื่องนั้นไปเก็บรักษาไว้ที่บ้านบ้าง
ทุกคนต่างพากันนำไปฝังไว้ตามท้องไร่ท้องนาของตนแล้วปลูกต้นไม้ไว้เป็นสัญลักษณ์เพื่อไม่ให้หลงลืม
ไม่มีใครนำไปเก็บไว้ในบ้านเลย
เนื่องจากคนในสมัยโบราณไม่นิยมที่จะนำสิ่งของที่เป็นของวัดเข้าบ้าน เพราะกลัวบาปและไม่เป็นสิริมงคลแก่ตนเองและครอบ
ครัว หลังจากนั้นสองปีต่อมา เจ้าอาวาสญาติสนิทของปู่บุญก็มรณภาพด้วยโรคชรา
ถึงช่วงที่ปู่บุญเติบโตเป็นหนุ่ม ก็อุปสมบทเป็นพระภิกษุสงฆ์
เพื่อตอบแทนบุญคุณบิดามารดาระยะหนึ่ง แล้วจึงลาสิกขาสึกออกมามีครอบครัวโดยไม่สนใจไหพระเครื่องนั้นเลย
จนกระทั่งหมอบุญมี บุญไชยเดช ไปแต่งงานกับนางเขียวลูกสาวคนโตของปู่บุญ จึงมีการนำเอาไหบรรจุพระเครื่องนั้นขึ้นมาเปิดออกดูทำให้รู้ว่า
ภายในไหนั้นบรรจุพระนางพญาไว้จำนวนมาก
ปู่บุญได้บอกกับหมอบุญมีตลอดทั้งนางเขียวและนางหนูว่า
พระเครื่องทั้งหมดนั้นเป็นพระแท้ของจริงทุกองค์ ต่อไปภายภาคหน้าจะหายากมากขึ้น เพราะมีความขลังและศักดิ์สิทธิ์ในทางแคล้วคลาดปลอดภัยทำมาค้าขายเจริญรุ่งเรืองร่ำรวยไวไม่มีวันตกต่ำและยากจน
พระนางพญาเป็นพระเครื่องในประวัติศาสตร์ชาติไทยนอกตำรา
สร้างขึ้นจำนวนมากหลายพิมพ์หลายสีหลายขนาด ไม่มีการจดบันทึกไว้เป็นทางการไม่มีตำราเรียนสืบทอดต่อกันมา
ไม่มีตำนานลานทองให้ศึกษายากแก่การจดจำ นอกจากหลักฐานความเก่าแก่ทางธรรมชาติที่ผ่านกาลเวลามานานนับร้อยปีและข้อมูลของคนรุ่นปู่ย่าตาทวดท่านช่วยกันจดบันทึกไว้ในตำนานนี้เท่านั้น
ที่จะยืนยันได้ว่าพระนางพญาแท้และไม่แท้ต่างกันอย่างไร
จากหลักฐานทางด้านประวัติศาสตร์พบว่า
เดิมวัดนางพญาเป็นวัดเดียวกันกับวัดราชบูรณะ วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ
ต่อมาถึงยุคขององค์พระวิสุทธิกษัตรีย์ได้มีการแบ่งแยกที่ดินด้านมหาวิหาร วัดพระศรีรัตน
มหาธาตุฯ
ออกมาบูรณปฏิสังขรณ์เป็นวัดโดยนำความสำคัญของสตรีเจ้าผู้ครองเมืองในขณะนั้นมาตั้งเป็นชื่อวัดว่า
วัดนางพญา ในสมัยโบราณจะนิยมสร้างวัดผัววัดเมียไว้คู่กันเสมอ วัดราชบูรณะ
ชาวบ้านเรียกกันว่าวัดผัว วัดนางพญา ชาวบ้านเรียกกันว่าวัดเมียเป็นต้น
พระนางพญาสร้างจากเหตุการณ์บ้านเมืองอยู่ในระหว่างศึกสงครามถูกพม่ารุกรานองค์พระวิสุทธิกษัตรีย์เจ้าผู้ครองเมืองในขณะนั้น จึงได้ตรัสสั่งให้หาพระเกจิและอาจารย์ที่มีเวทย์มนต์คาถาขลังและศักดิ์
สิทธิ์ ในยุคนั้น ให้มาช่วยกันสร้างพระเครื่องแจกแก่ประชาชนและทหารที่ออกรบไว้ป้องกันตัว
พระและ เกจิอาจารย์ก็แบ่งหน้าที่กันสร้าง
หลายพิมพ์ หลายสี หลายขนาดโดยยึดรูปแบบหลวงพ่อพระพุทธชินราช เป็นหลัก
การทำแม่พิมพ์ ช่างก็นำการประทับนั่งขัดสมาธิ (
เพชร ) ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาแกะเป็นพิมพ์เข่าโค้ง ๓ พิมพ์ คือ ๑
พิมพ์เข่าโค้งหวายผ่าซีก ๒ พิมพ์เข่าโค้งเส้นด้าย
๓ พิมพ์เข่าโค้งวงพระจันทร์
และนำการประทับนั่งขัดสมาธิ ( ราบ ) ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
มาแกะเป็นพิมพ์เข่าตรง ทำกันแบบรีบร้อนคือพิมพ์ได้ครั้งละ ๓ องค์
แล้วนำไปตัดแยกออกด้วยตอกมุงหลังคา จากนั้นก็นำ ไปเผาไฟ
ทำให้มวลสารด้านข้างที่เป็นเกสรดอกไม้และแร่เหล็กต่างๆถูกหลอมละลายเหลือไว้แต่รอยขรุขระยุบตัว
ฝีมือมนุษย์ไม่สามารถทำเทียมเลียนแบบได้
เหตุผลที่ต้องใช้ตอกตัดแยกองค์พระออกจากกันก็เนื่อง มาจากพระและเกจิอาจารย์ท่านต้องการตอกและตรึงเวทย์มนต์คาถาไว้ให้อยู่คู่กับพระนางพญาตลอดไปไม่ต้องการให้
ขอม หรือผู้เชี่ยวชาญทางด้านเวทย์มนต์คาถาทั้งในประเทศและประเทศเพื่อนบ้านมาแกล้งทำให้เสื่อมหรือคลายความขลังและความศักดิ์สิทธิ์ไปได้
ในยุคเดียวกันนั้นมีการสร้างพระนางพญาพิมพ์อกนูนเล็กและอกนูนใหญ่เพิ่มขึ้นอีกสองพิมพ์
มีเอก ลักษณ์แปลกตาไม่เหมือนใคร
เป็นพระเครื่องที่สร้างขึ้นเพื่อสรรเสริญวีรกรรมและถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระศรีสุริโยทัยและพระบรมดิลกพระราชธิดาที่สิ้นพระชนม์ชีพพร้อมพระมารดาในสงครามคราวเดียวกัน
โดยมีรูปทรงแปลกตา บ่งบอกถึงสตรีเพศ อกนูนใหญ่คงหมายถึงพระศรีสุริโยทัยและอกนูนเล็กคงหมายถึงพระบรมดิลกพระราชธิดา
ดังมีเรื่องเล่าไว้ในประวัติศาสตร์ชาติไทย
เมื่อครั้งที่พม่ายกทัพเข้ามาตีกรุงศรีอยุธยา เนื่องด้วยสม เด็จพระศรีสุริโยทัยสืบเชื้อสายมาจากราชวงษ์พระร่วง
ดำรงตำแหน่งพระอัครมเหสีในสมเด็จพระมหาจักร พรรดิ
ในขณะที่สมเด็จพระมหาจักรพรรดิขึ้นครองราชย์สมบัติกรุงศรีอยุธยาต่อจากขุนวรวงศาธิราชได้เพียง
7 เดือน เมื่อปี พ.ศ 2091
พระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้
และมหาอุปราชาบุเรงนองยกกองทัพพม่าเข้ามาล้อมกรุงศรีอยุธยาครั้งแรกโดยเข้ามาทางด่านพระเจดีย์สามองค์จังหวัดกาญจนบุรีตั้งค่ายล้อมพระนครศรีอยุธยาไว้การศึกครั้งนั้นเป็นที่เลื่องลือถึงวีรกรรมของสมเด็จพระศรีสุริโยทัยซึ่งไสช้างพระที่นั่งเข้าขวางพระเจ้าแปรด้วยเกรงว่าสมเด็จพระมหาจักรพรรดิพระราชสวามีจะเป็นอันตรายจนถูกพระแสงขอ
ง้าวฟันพระอังสาขาดสะ พายแล่งสิ้นพระชนม์อยู่บนคอช้างเพื่อปกป้องพระราชสวามีไว้
เมื่อวันอาทิตย์ ขึ้น 6 ค่ำ เดือน 4
ปีจุลศักราช 910 ตรงกับวันเดือนปีทางสุริยคติคือ วันที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ 2092
วันนั้น
สมเด็จพระมหาจักรพรรดิทรงตัดสินพระทัยยกทัพออกนอกพระนครเพื่อเป็นการบำรุงขวัญทหารและทอดพระเนตรจำนวนข้าศึกสมเด็จพระศรีสุริโยทัยพร้อมกับพระราชโอสรและพระราชธิดา
4 พระ องค์ได้เสด็จติดตามไปด้วย
โดยพระองค์ทรงแต่งกายอย่างมหาอุปราชครั้นยกกองทัพ ออกไปบริเวณทุ่งภูเขาทอง กองทัพอยุธยาปะทะกับกองทัพพระเจ้าแปรซึ่งเป็นทัพหน้าของพม่า ช้างทรงของสมเด็จพระมหาจักร พรรดิ เกิดเสียหลักหันหลังหนีจากข้าศึกพระเจ้าแปรก็ทรงขับช้างไล่ตามมาอย่างกระชั้นชิด
สมเด็จพระศรีสุ ริโยทัยทอดพระเนตรเห็น
พระราชสวามีกำลังอยู่ในอันตรายจึงรีบขับช้างเข้าขวางพระเจ้าแปร ทำให้ไม่สา มารถติดตามต่อไปได้
พระเจ้าแปรจึงทำยุทธหัตถีกับสมเด็จพระศรีสุริโยทัย พระศรีสุริโยทัยอยู่ในลักษณะเสียเปรียบ
ช้างของพระเจ้าแปรได้เสยช้างของสมเด็จพระศรีสุริโยทัยจนเท้าหน้าทั้งสองลอยพ้นพื้นแล้วพระเจ้าแปรจึงฟันสมเด็จพระศรีสุริโยทัยจากพระพาหาขาดถึงกลางพระองค์เสด็จสวรรคตเช่นเดียวกับพระราชธิดาคือพระบรมดิลกบนช้างเชือกเดียวกัน
เมื่อสงครามยุติลง
สมเด็จพระมหาจักรพรรดิได้ทรงปลงพระศพของพระนางและสถาปนาสถานที่ปลงพระศพขึ้นเป็นวัดขนานนามว่า
วัดสบสวรรค์ หรือวัดสวนหลวงสบสวรรค์
พระเครื่องทั้งสองพิมพ์นี้สร้างจำนวนน้อย
ทำให้มีผู้คนสนใจเสาะแสงหาไว้ครอบครองกันมากไม่แพ้พระนางพญาพิมพ์อื่นๆ ด้วยความจงรักภักดีที่องค์สมเด็จพระศรีสุริโยทัย
ยอมเสียสละได้แม้กระทั่งพระชนม์ชีพ ส่งผลทำให้จิตวิญญาณสิงสถิตอยู่ในพระนางพญาพิมพ์อกนูนเล็กและอกนูนใหญ่
ให้มีความขลังและศักดิ์สิทธิ์โดดเด่นไปในทางส่งเสริม ให้มีตำแหน่งหน้าที่การงานดีขึ้น
มีโชคมีลาภและค้าขายร่ำรวยไว
เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการมีตำแหน่งหน้าที่การงานสูงส่งและให้คนรักภักดีตลอดไป
ต่อมาถึงยุคขององค์สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงประกาศอิสระภาพเป็นกษัตรีย์ขึ้นครองกรุงศรีอยุธยาแล้ว
จึงหันมาพัฒนาวัดพระศรีรัตนมหาธาตุฯ วัดนางพญา วัดราชบูรณะ
ที่พระราชบิดาและพระราชมารดาทรงสร้าง
พร้อมทั้งสร้างพระเครื่องแจกให้เป็นขวัญและกำลังใจแก่ประชาขนและทหารที่ออกรบไว้ป้องกันตัวอีกครั้ง
ที่เหลือก็นำไปบรรจุไว้ในกรุทั้ง ๓ วัด เพราะมีเขตุขันธ์สีมาติดต่อกัน
ในยุคเดียวกันนั้นองค์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช มีพระราชโองการโปรดเกล้าฯให้
วัดต่างๆร่วมสร้างพระเครื่องแจกแก่ประชาชนและทหารที่ออกรบไว้ป้องกันตัวด้วย
แต่ละวัดจะยึดรูปแบบพระนางพญา กรุวัดนางพญาเป็นหลัก
ที่เหลือก็นำไปบรรจุไว้ในกรุวัดใครวัดมัน จึงเป็นที่มาของพระนางพญากรุวัดต่างๆพระนางพญาจึงไม่ใช่มีแต่เฉพาะของกรุวัดนางพญาเท่านั้น
พระนางพญาที่สร้างในยุคขององค์สมเด็จพระนเรศวรมหาราชมี ๓ สมัยคือ
สมัยที่ ๑ สร้างตอนสมัยที่องค์สมเด็จพระนเรศวรมหาราชประกาศอิสรภาพเป็นกษัตริย์ขึ้นครองกรุงศรีอยุธยา
โดยนำแม่พิมพ์ในยุคขององค์พระวิสุทธิกษัตรีย์มาพิมพ์ใหม่อีกครั้ง
พระนางพญายุคขององค์สม เด็จพระนเรศวรมหาราชในสมัยแรก จึงมีด้านหน้าเหมือนยุคขององค์พระวิสุทธิกษัตรีย์ทุกอย่าง
ส่วนด้าน ข้างจะมีรอยตอกตัดแยกองค์พระออกจากกันมีทั้งในลักษณะเฉียงๆและเรียบๆคล้ายใช้ของมีคมตัด
สมัยที่ ๒
สร้างเนื่องจากศึกสงครามยังรุนแรงอยู่
ส่งผลทำให้ผู้คนสนใจอยากได้พระนางพญาเพิ่มมากขึ้น
จนถึงกับไม่มีเหลือไว้บรรจุในกรุเลย
พระนางพญาในสมัยนั้นชาวบ้านเรียกกันว่ายุคอินโดจีน
สมัยที่ ๓ สร้างในช่วงที่สงครามเริ่มสงบ
ชาวบ้านเรียกพระนางพญาสมัยนั้นว่า พระนางพญาสงบศึก ทางวัดได้นำไปบรรจุไว้ในเจดีย์เล็กๆที่ตั้งอยู่เลียงรายรอบวัด
มีทั้งเนื้อหยาบและเนื้อละเอียด สีแดงอิฐ
สีตับเป็ด สีดำ และสีเขียวครกหิน หากนำเอาพระนางพญาทั้ง ๓
สมัย มาเปรียบเทียบกันจะเห็นรูปทรงองค์พระและสีของเนื้อพระแตกต่างกันได้เป็นอย่างดี
ในสมัยโบราณการสร้างพระเครื่องเขาสร้างกันเพื่อแจกแก่ประชาชนและทหารที่ออกรบไว้ป้องกันตัว
ไม่ใช่เพื่อการค้าหรือธุรกิจจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทำตำหนิหรือเครื่องหมายใดๆไว้ที่องค์พระตำหนิ
ต่างๆที่เกิดขึ้น เกิดขึ้นโดยบังเอิญไม่ซ้ำที่กัน
การจะนำตำหนิไม่ซ้ำที่กันมากำหนดเป็นมาตรฐานตายตัวว่าเป็นพระแท้หรือไม่แท้นั้นเชื่อถือไม่ได้ เมื่อใดที่ได้เห็นพระนางพญาอย่าเพิ่งรีบด่วนสรุปว่า
เป็นพระเก๊ พระปลอม พระผิดพิมพ์
อายุการสร้างไม่ถึง ควรดูให้แน่ใจเสียก่อนว่า เป็นพระนางพญากรุไหนวัดไหนใครสร้าง ดินเผาเก่าหรือดินเผาใหม่กันแน่
การดูรูปทรงขององค์พระและตำหนิอย่างหนึ่งอย่างใด จึงไม่ใช่เหตุผลที่จะนำมาตัดสินว่า เป็นพระแท้หรือไม่แท้
เพราะพระในแม่พิมพ์เดียวกันทั้งสามองค์นั้น
ไม่เหมือนกันอยู่แล้ว ถึงจะแกะออกมาจากแม่
พิมพ์เดียวกัน โดยบุคคลคนเดียวกันก็ไม่เหมือนกัน การสร้างพระเครื่องจากแม่พิมพ์หลายอัน
ทำโดยบุคคล หลายคน จะมีตำหนิเหมือนกันที่เดียวกันทุกองค์ย่อมเป็นไปไม่ได้
หากมีใครมาชี้ตำหนิในพระนางพญาให้ดู ก็รู้ไว้เลยว่าบุคคลคนนั้นดูพระเครื่องไม่เป็น
เพราะตำหนิที่ปรากฏอยู่ทั่วองค์พระจะไม่ซ้ำที่กันเลย การจะนำ
ตำหนิไม่ซ้ำที่กันมายืนยันว่าเป็นพระแท้หรือไม่แท้นั้นรับไม่ได้และไม่เห็นด้วย
ปกตินักสะสมของเก่าทั่วไปจะอนุรักษ์ร่องรอยความเก่าแก่ทางธรรมชาติไว้ให้อยู่ในสภาพเดิมๆจะไม่ไปล้างหรือทำลายหลักฐานความเก่าแก่ทางธรรมชาติทิ้งไปโดยเด็ดขาด
ถ้าเป็นพระเครื่องก็ยิ่งจะต้องรัก
ษาสภาพความเก่าแก่ทางธรรมชาติไว้เป็นหลักฐานในการสร้างไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องไปล้างหรือทำลายทิ้ง
การดูสีพระนางพญาถือเป็นไม้ตายในการดูพระนางพญากรุวัดนางพญา
จังหวัดพิษณุโลก สร้างในยุคขององค์พระวิสุทธิกษัตรีย์วิธีหนึ่ง พระและครูบาอาจารย์ตลอดทั้งคนเฒ่าคนแก่ท่านบอกไว้ว่า
เขาทำไว้เพื่อให้ง่ายแก่การจดจำ
ว่าพระนางพญาองค์ไหนผสมมวลสารอะไรลงไปในเนื้อพระพิมพ์ต่างๆนั้นบ้างพระนางพญาแต่ละสีแต่ละพิมพ์นอกจากจะผสมมวลสารหลักๆลงไปแล้ว
ยังได้ผสมมวลสารส่วนตัวของพระเก จิอาจารย์ที่มาร่วมสร้างและปลุกเสก เพิ่มความขลังและศักดิ์สิทธิ์ลงไปด้วย
อย่างเช่นผงอิทธิเจ ผงปัดตลอด ผงมหาอุด ผงสาลิกาป้อนเหยื่อ ผงพญาเต่าเรือน ผงมงคลจักรวาล ผงพระเจ้าห้าพระองค์ ผงอิติปิโสธงชัยและผงอื่นอีกมาก
พระและครูบาอาจารย์ในสมัยโบราณ ท่านมีเวทย์มนต์คาถาขลังและศักดิ์สิทธ์ สามารถทำให้พิสูจน์เป็นรูปธรรมได้ทุกองค์ในสมัยนั้นแค่คนเห็นสีของพระนางพญา
คนก็รู้กันแล้วว่าพระนางพญาองค์นั้นมีคุณวิเศษโดดเด่นดีทางไหน
พระและเกจิอาจารย์ท่านใดเป็นผู้ปลุกเสกและผสมมวลสารอะไร ลงไปในเนื้อพระพิมพ์ต่างๆนั้นบ้าง
พระนางพญาแต่ละพิมพ์แต่ละสีแต่ละยุคสมัยมีความสำคัญบอกให้รู้ถึงความขลังและความศักดิ์สิทธิ์ที่แตกต่างกันได้เป็นอย่างดี
สีเม็ดมะขาม สีครกหิน
ดีในทางทำให้มีพลังอำนาจน่าเกรงขามแก่บริวารและผู้คนที่พบเห็นทั่วไปเหมาะสำหรับบุคคลที่ต้องการเป็นเจ้าคนนายคนและมีตำแหน่งหน้าที่การงานก้าวหน้าไว
สีหัวไพรแห้ง สีดอกพิกุลแห้ง สีดอกจำปี ดีทางค้าขาย ดีทางเสน่ห์เมตตามหานิยม
ดีทางโชคลาภ สีเขียวครกหิน สีเขียวตา กบ ดีทางหลักทรัพย์ ช่วยให้มีความเจริญรุ่งเรือง
ชนะอุปสรรค ชนะศัตรู ชนะคู่แข่ง ชนะคดีความ
สีสิลาแลง สีแดงอิฐ สีขมิ้นชัน สีตับเป็ด ดีทางโชคลาภ ตลอดทั้งเมตตามหานิยม
ร่ำรวยไวดังใจปารถนาและแคล้วคลาดปลอดภัยจากอุบัติเหตุและอันตรายต่างๆได้
ถึงตรงนี้
คงจะหายสงสัยกันไปแล้วว่าทำไมพระนางพญาจึงมีหลายสีด้วยเหตุดังกล่าวนักสะสมพระเครื่องรุ่นปู่ย่าตาทวด
จึงไม่สนับสนุนให้ล้างและทำลายหลักฐานความเก่าแก่ทางธรรมชาติทิ้งไปโดยเด็ดขาด ถ้าพบว่าพระเครื่ององค์ไหนผ่านการล้างหรือตกแต่งมาแล้ว
ท่านจะถือว่าเป็นพระเก๊พระปลอมหมดท่านให้เหตุผลว่า ถ้าคิดจะเป็นนักสะสมของเก่า
แล้วจะไปล้างและตกแต่งใหม่ทำไม สิ่งสำคัญพระนางพญาแต่ละสีแต่ละพิมพ์มีมวลสารพิเศษไม่เหมือนกันอยู่แล้ว
หากสังเกตให้ดีจะเห็นว่า พระนางพญามีสีเสมอเหมือนกันทั่วทั้งองค์ ไม่ดำครึ่งแดงครึ่งเหมือนเผากุ้งเผาปลา
ส่วนราเขียวราดำและคราบขี้ตะไคร่ที่เกิดจากไอน้ำหรือความชื้นตกผลึกฝังลึกลงไปในเนื้อพระนั้น
เกิดทับซ้อนขึ้นมาตามธรรมชาติที่ผ่านกาลเวลามานานนับร้อยปีในภายหลัง
ฝีมือมนุษย์ไม่สามารถทำเทียมเลียนแบบธรรมชาติได้
ขั้นตอนการผสมเนื้อพระนางพญาจะเริ่มต้นด้วยการนำดินไปผสมน้ำสีที่ทำด้วยเปลือกและดอกไม้
มงคลต่างๆแล้วตำจนดินเหนียวหนึบได้ที่ ต่อจากนั้นก็นำดินที่ผสมแล้วไป
( กด ) ลงในแม่พิมพ์แต่ละพิมพ์ จากนั้นก็เอาพระไปตากแดดจนแห้งแล้วนำไปบรรจุไว้ใน (
ไห ) โดยมีแกลบ มีขี้เลื่อย มีหญ้าคาสับละเอียดลองรับ
ไม่ให้องค์พระเบียดเสียดกันจนเกิดการแตกหักเสียหาย ขั้นตอนสุดท้ายก็นำไปเผาไฟทั้งไห
การนำพระเครื่องไปเผาไฟทั้งไห ก็เพื่อให้สีของเนื้อพระเป็นสีเดียวกันทั่วทั้งองค์
ไม่ดำครึ่งแดงครึ่งเหมือนเผากุ้งเผาปลา สีที่กำหนดไว้มีดังนี้คือ สีเม็ดมะขาม สีครกหิน สีหัวไพรแห้ง สีดอกพิกุลแห้ง สีดอกจำปี สีขมิ้น ชัน สีเขียวครกหิน สีเขียวตากบ สีแดงอิฐ สีตับเป็ด สีสิลาแลง
หากสังเกตให้ดีๆจะเห็นว่าพระนางพญามีสีเสมอเหมือนกันทั่วทั้งองค์
ไม่ดำครึ่งแดงครึ่งหากไปพบ เห็นพระนางพญาองค์ไหนไม่มีสีดังตัวอย่างที่นำมาให้ชมนี้ก็รู้ไว้ว่าไม่ใช่พระนางพญากรุวัดนางพญาจังหวัด
พิษณุโลกที่สร้างในยุคขององค์พระวิสุทธิกษัตรีย์แน่นอน ด้วยเหตุผลดังกล่าว จึงเป็นต้นเหตุทำให้มีคนนำพระเก๊พระปลอมไปล้างและทำลายหลักฐานในการสร้างทิ้งไป
การดูพระนางพญาของแท้แค่เอาผ้าแห้งเช็ดเบาๆก็ขึ้นเงาแล้ว ไม่ต้องไปขัดถูหรือเอาน้ำมันอะไรไปทาให้ขึ้นเงาเกินจริง
โดยเฉพาะเนื้อพระต้องแข็งและแกร่งเหมือนหินหรือฟ๊อสซิล ( Fossil )
ส่วนสีของพระนางพญาที่สร้างในยุคขององค์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช
ไม่มีอะไรซับซ้อนมีแค่สีแดงอิฐ สีเขียวครกหิน สีดำ สีตับเป็ด สีหัวไพรแห้ง
เนื้อหยาบและเนื้อละเอียดเท่านั้น
จากนั้นจึงไปดูสีของเนื้อดินที่สร้างว่าเป็นดินยุคไหน
ปกติดินแต่ละยุคแต่ละสมัยจะมีการเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา
ถึงแม้จะไปนำดินในที่เดียวกันกับดินที่สร้างพระเครื่องเมื่อหลายร้อยปีมาสร้างใหม่อีกครั้ง
ดินก็แตกต่างกันไปแล้วฝีมือมนุษย์ไม่สามารถทำเทียมเลียนแบบธรรมชาติที่ผ่านกาลเวลามานานนับร้อยปีได้
ดังนั้นการจะดูพระเครื่องเนื้อดินเผาว่าเก่าหรือใหม่ก็ดูได้จากดินที่นำมาสร้าง ว่าเป็นดินในยุคใดสมัยไหน
ถ้าเป็นดินในยุคกรุงศรีอยุธยาก็พอเชื่อได้ว่าเป็นพระแท้ของจริงเนื่องจากยังอยู่ในยุคที่ยังไม่มีการซื้อขายและทำปลอมกัน
แต่ถ้าเป็นดินหลังยุคกรุงศรีอยุธยาเรื่อยลงมาถึงยุคปัจจุบัน ถือว่าเป็นพระใหม่ไม่ใช่พระนางพญากรุวัดนางพญาจัง
หวัดพิษณุโลกแน่นอน
พระนางพญาเป็นพระเครื่องที่ผ่านศึกสงครามมาแล้วโชกโชนดังมีเรื่องเล่าจากประสบการณ์ในสมัยขององค์
สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ไปรบที่ไหนก็ประสบชัยชนะที่นั่น เป็นที่หวั่นเกรงแก่พม่าในขณะนั้น
ประสบการณ์ต่อมาคือ เมื่อครั้งที่ทหารไทยไปร่วมรบในสงครามอินโดจีน ทหารไทยถูกยิงล้มลงแล้วลุกขึ้น
มาต่อสู้ใหม่เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นมารู้ทีหลังว่าทหารไทยมีพระนางพญาแขวนสร้อยห้อยคอติดตัวกันไปทั้งนั้นทำให้ปืนยิงไม่ถูกที่ยิงถูกไม่เข้า
ทหารฝ่ายตรงข้ามเข้าใจไปว่าทหารไทยเป็นทหารผีฆ่าไม่ตายเป็นที่ร่ำลือกันไปทั่วว่า พระนางพญาเป็นพระเครื่องที่มีความขลังและความศักดิ์สิทธิ์
ช่วยชีวิตทหารให้รอดตายมาได้ราวปาฏิหาริย์ อีกประสบการณ์หนึ่งคือ ทำให้คนจีนฐานะยากจน ทำมาค้าขายเจริญรุ่งเรือง ร่ำรวยไว
กลายเป็นพ่อค้าและนักธุรกิจติดอันดับเศรษฐีและเจ้าสัวใหญ่มาถึงทุกวันนี้
ทางด้านเมตตามหานิยมก็โดดเด่นช่วยทำให้คนมีเสน่ห์เมตตามหานิยมตลอดทั้งจงรักภักดีและสนับสนุนให้เป็นใหญ่เป็นโตมาแล้วมาก
มาย
อีกประสบการณ์หนึ่งคือช่วยป้องกันไม่ให้เกิดอุบัติเหตุและอันตรายต่างๆได้เป็นอย่างดี
ทุกครั้งที่เสร็จศึกสงคราม ทหารและประชาชนที่ได้รับแจกพระเครื่องจากวัดต่างๆไปป้องกันตัวต่าง
ก็พากันนำกลับไปคืนวัดหมด ใครอยู่ใกล้วัดไหนก็นำกลับไปคืนวัดนั้น โดยไม่เจาะจงว่าตอนรับจะไปรับมาจากวัดไหน
ส่งผลทำให้พระนางพญาและพระเครื่องวัดอื่นๆถูกบรรจุรวมกันอยู่ในกรุเดียวกันอย่างถาวรจนคนรุ่นหลังๆเข้าใจไปว่าพระนางพญาของจริงได้สูญหายจากโลกนี้ไปหมดแล้ว
จนกระทั่งสถูปเจดีย์และพระพระพุทธรูปทรุดโทรมพังทลายลงมาเอง เรียกกันว่ากรุแตก
พระนางพญาแท้ของจริงที่นำเอาออกมาจากกรุแตก
กลายเป็นพระแปลกตาเนื่องจากผู้คนทั่วไปไม่ค่อยได้พบเห็นกันบ่อยนัก สงผลทำให้นักสะสมรุ่นใหม่ถอดใจไม่เชื่อว่าพระนางพญาแท้ของจริงจะยังมีเหลืออยู่ในโลกนี้อีก
ต่างกลัวจะเป็นพระปลอม
ทั้งๆที่พระแท้ของจริงยังมีอยู่กับชาวบ้านในต่างจังหวัดอีกมากมาย บุคคลดังกล่าวเป็นคนเฒ่าคนแก่หัวโบราณไม่สนใจ
ที่จะส่งพระเครื่องใดๆเข้าประกวด และไม่ได้สนใจใบการันตรีของคนรุ่นลูกรุ่นหลาน
เพราะท่านมั่นใจในการปลุกเสกเดี่ยวของพระเกจิอาจารย์ในสมัยโบราณว่ามีความขลังและศักดิ์สิทธิ์ถึงขั้นพิสูจน์ได้มาแล้ว
ดูตามประวัติในสมัยทวารวดี
สมัยอู่ทอง สมัยกรุงศรีอยุธยา ยังไม่มีการซื้อขายหรือให้เช่าพระเครื่อง กัน
จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทำปลอมกันขึ้นมาเพิ่งจะเริ่มมีการซื้อขายตลอดทั้งลักขโมยขุดเจาะพระพุทธ
รูปหรือสถูปเจดีย์เพื่อค้นหาพระเครื่องและทำปลอมกันขึ้นมาในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์นี่เอง
จึงยืนยันได้ว่าพระเครื่องในชุดเบญจภาคี ไม่มีพระเก๊พระปลอมแน่นอน จะปลอมกันไปทำไม
จะปลอมไปขายใคร สมัยโบราณแจกฟรีคนยังนำกลับไปคืนวัดหมด
ถึงจะมีการทำปลอมกันขึ้นมาใหม่ในภายหลังก็ยังมีร่องรอยความเก่าแก่ทางธรรมชาติที่ผ่านกาลเวลามานานนับร้อยปีอย่างเช่นคราบขี้ตะไคร่ที่เกิดจากไอน้ำหรือความชื้น
ที่ตกผลึกฟังลึกลงไปในเนื้อพระไว้ให้พิสูจน์ได้
ความแตกต่างระหว่างพระเครื่องที่บรรจุอยู่ในกรุต่ำกว่าพื้นดินกับพระเครื่องที่บรรจุอยู่ในกรุเหนือพื้นดินจะมีข้อแตกต่างให้สังเกตได้ดังนี้คือ
พระเครื่องที่บรรจุอยู่ในกรุต่ำกว่าพื้นดินจะมีคราบขี้ตะใคร่ที่เกิดจากไอน้ำหรือความชื้นตกผลึกฝังลึกลงไปในเนื้อพระส่วนพระเครื่องที่บรรจุอยู่ในกรุเหนือพื้นดินจะไม่มีไอน้ำหรือความชื้นใดๆเข้าไปทำให้เกิดขี้ตะใคร่และราเขียวราดำได้
สภาพของพระเครื่องที่บรรจุอยู่ในกรุเหนือพื้นดินกับต่ำกว่าพื้นดินจึงมีข้อแตกต่างๆให้เห็นได้ชัดเจน
การดูพระเครื่องเนื้อดินเผาว่าแท้หรือไม่แท้
ควรให้ความเก่าแก่ทางธรรมชาติที่ผ่านกาลเวลามานาน นับร้อยปีการันตี ดีกว่าให้เด็กรุ่นลูกรุ่นหลานการันตีให้
เด็กรุ่นลูกรุ่นหลานเกิดไม่ทัน จะไปเอาความรู้และประสบการณ์จากไหนมาการันตี
ในเมื่อพระนางพญาเป็นพระเครื่องในประวัติศาสตร์ชาติไทยนอกตำรา
ไม่มีการจดบันทึกไว้เป็นทางการ ไม่มีตำราเรียนสืบทอดต่อกันมา
ไม่มีตำนานลานทองให้ศึกษา ยากแก่การจด จำ นอกจากหลักฐานความเก่าแก่ทางธรรมชาติที่ผ่านกาลเวลามานานนับร้อยปี
ที่คนรุ่นปู่ย่าตาทวดท่านช่วย กันจดบันทึกไว้ในตำนานนี้เท่านั้น
ที่จะยืนยันได้ว่าพระนางพญาแท้และไม่แท้ต่างกันอย่างไร
อาจมีบางท่านตั้งข้อสงสัยกันว่า
เวลามีศึกสงครามทำไมไม่รื้อหรือขุดเอาพระเครื่องที่บรรจุอยู่ในกรุออกมาแจกแก่ประชาชนและทหารที่ออกรบไว้ป้องกันตัวอีก
เนื่องจากคนในสมัยโบราณถือกันว่าการทุบทำ ลายสถูปเจดีย์และพระพุทธรูปนั้นเป็นบาปที่ใหญ่หลวง
ปัจจุบันผิดกฎหมาย จึงไม่มีการขุดหรือทำลายสถูปเจดีย์และพระพุทธรูปเพื่อค้นหาพระเครื่องที่บรรจุอยู่ในกรุออกมาใช้กัน
สิ่งสำคัญคนในสมัยโบราณไม่นิยมที่จะนำสิ่งของที่เป็นของวัดเข้าบ้านเพราะกลัวบาปและไม่เป็นสิริมงคลแก่ตนเองและครอบครัว
ปัญหาที่พบบ่อยคือ
เวลามีคนนำพระเครื่องในชุดเบญจภาคีมาให้ดูมักจะได้ยินคนพูดว่า พระใหม่ พระเก๊
พระปลอม พระผิดพิมพ์ อายุการสร้างไม่ถึงตามมาทุกครั้ง ไม่มีใครอธิบายให้ชัดเจนว่า
พระเก๊ ( เก๊ยุคไหน ) พระปลอม ( ปลอมยุคไหน ) พระผิดพิมพ์ ( ผิดพิมพ์ของใคร )
อายุการสร้างไม่ถึง ( อายุพระหรืออายุคนพูดไม่ทราบเหมือนกัน )
ส่วนมากคนจะยึดติดอยู่กับคำพูดของคนที่อ้างตัวเป็นเซียน
อย่างเช่นเซียนพูดว่าพระเก๊ คนก็เชื่อว่าพระเก๊ แต่ถ้าเซียนพูดว่าพระแท้
คนก็เชื่อว่าพระแท้ตามกันไป สรุปว่าดูพระด้วยหูไม่ได้ดูพระด้วยตา
เซียนพูดอะไรก็เชื่อตามเซียนไปหมด โดยไม่ได้สนใจว่าเซียนนั้นอายุเท่าไหร่
ไปเอาความรู้และประสบการณ์มาจากไหน อาศัยการฟังคนพูดต่อๆกันมาก็ตั้งตัวเป็นเซียนกันไปแล้ว
ส่งผลทำให้พ่อค้านักธุรกิจตำรวจทหารและนักการเมืองแขวนสร้อยห้อยพระเก๊กันไว้เต็มคอ
เคยมีนายทหารนอกราชการมาเล่าให้ฟังว่า
เขาเคยหลงเชื่อว่าพระแท้ของจริงจะต้องผ่านการประ กวดและมีใบการันตีรับรอง
ถ้าไม่เคยส่งพระเข้าประกวดหรือไม่มีใบการันตีรับรองถือว่าเป็นพระเก๊พระปลอมหมด
จึงได้ส่งพระเข้าประกวดบ้าง สนามแรกได้รับรางวัลพร้อมใบการันตี
หลังจากนั้นก็นำพระองค์เดียวกันนั้นไปส่งเข้าประกวดอีกสนามหนึ่ง
ผลปรากฏว่าเป็นพระเก๊พระปลอมไม่ได้รับรางวัลใดเลย
ทำให้สงสัยว่ามาตรฐานของการประกวดและใบการันตีนั้นอยู่ตรงไหน
อยู่ที่พวกใครพวกมันหรือเปล่า
ในตำนานนี้ มีภาพประกอบขยายใหญ่ให้เห็นเนื้อพระและมวลสารในสภาพเดิมๆสีสันเหมือนจริงทุกมุมมองประวัติการสร้างถูกต้องโดยมีความเก่าแก่ทางธรรมชาติอยู่เหนือคำอธิบาย
คำตอบสุดท้ายที่พระพุทธองค์ทรงตรัสสอนไว้ว่า ( อย่าประมาท ) เป็นแรงบันดาลใจให้พ่อค้านักธุรกิจทหารตำรวจและนักการ
เมือง เข้าใจในสัจธรรมว่าอะไรๆก็เกิดขึ้นได้กับทุกคน ทุกที่ ทุกเวลา
เงินทองเป็นของนอกกายไม่ตายยังหาได้อีก
จึงหาทางป้องกันตัวด้วยการหาพระนางพญามาบูชาติดตัวกันด้วยความมั่นใจและศรัทธาในปลุกเสกเดี่ยวของพระเกจิอาจารย์ในสมัยโบราณว่ามีความขลังและศักดิ์สิทธิ์จริงมาถึงทุกวันนี้
พิพิธภัณฑ์
พระนางพญา กรุวัดนางพญา
แหล่งเรียนรู้ประวัติและการสร้างพระนางพญา จังหวัดพิษณุโลก
แหล่งเรียนรู้ประวัติและการสร้างพระนางพญา จังหวัดพิษณุโลก
สนใจเชิญชมและศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับพระนางพญาในตำนานนี้ได้ที่
( พิพิธภัณฑ์พระนางพญา )
ภายใน มูลนิธิธรรมบันดาล 499/18
หมู่บ้านเฟื่องฟ้า
แฮปปี้แลนด์ คลองจั่น บางกะปิ
กรุงเทพฯ 10240
083-234-7117 , 080-301-1155 , 089-511-5533
( Facebook ) พิพิธภัณฑ์พระนางพญา หรือ ตำนานพระนางพญา.COM